วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555


เปิดอดีต"เจ้าแม่พัฒน์พงษ์" ยุครุ่งเรือง เปิด 2 บาร์ เปิด 2 รับเมมเบอร์
เพื่อนบ้านอดีตเจ้าแม่พัฒน์พงษ์ วัย 75 ปี แจ้งสื่อเตรียมออกหน้ายันข้อมูลความเป็นจริงระหว่างใช้ชีวิตอยู่กับหลานที่ลำปาง ขณะที่เจ้าตัวย้อนอดีตยุครุ่งเรืองเปิดบาร์หรูกลางพัฒน์พงษ์ถึง 2 แห่ง รับเฉพาะเมมเบอร์ต่างชาติ จนกระทั่งฝรั่งออกจากไทย ประกอบกับลูกโตเป็นสาวจึงปิดกิจการ 
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดลำปางแจ้งว่า กรณียายสุภานี ศรีสุภะ อดีตเจ้าแม่พัฒน์พงษ์ วัย 75 ปี ที่ตกอับ ก่อนออกมาเปิดเผยผ่านสื่อมวลชนว่าลูกหลานไม่ดูแลและต้องออกจากบ้านพักที่อาศัยอยู่กับหลานสาวคนหนึ่งภายในสิ้นเดือนนี้
       
       ล่าสุด เมื่อคืนที่ผ่านมา (27 ก.ย.) หลานสาวคนดังกล่าวของยายสุภานีได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ผ่านทีวีช่องหนึ่งว่า ยายสุภานีแต่งเรื่องขึ้น ที่ผ่านมาดูแลยายสุภานีมาตลอดไม่เคยทิ้งขว้าง และไม่เคยไล่ออกจากบ้าน แต่ก็ไม่สามารถรับภาระเลี้ยงดูยายสุภานีได้อีกต่อไปนั้น ได้ทำให้เพื่อนบ้านยายสุภานีที่ติดตามการให้สัมภาษณ์ของหลานสาวยายสุภานีไม่พอใจติดต่อผ่านสื่อมวลชนว่า พร้อมที่จะออกมายืนยันเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมถึงกรณีที่เพื่อนบ้านต้องมาช่วยจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟให้กับยายสุภานี ที่ถูกเจ้าหน้าที่มาตัดก่อนหน้านี้เนื่องจากไม่ได้ไปชำระด้วย
       
       ทั้งนี้ ยายสุภานี ศรีสุภะ อายุ 75 ปี ฉายาเจ้าแม่พัฒน์พงษ์ เมื่อประมาณร่วม 40 ปีที่ผ่านมา ได้เล่าถึงการประกอบอาชีพในย่านพัฒน์พงษ์ในสมัยนั้นว่า เดิมตนเองเคยมีครอบครัวและมีลูก 4 คน ซึ่งปัจจุบันก็มีอาชีพมั่นคงใหญ่โตกันทุกคน บางคนเป็นถึงผู้จัดการในบริษัทสุราชื่อดังระดับประเทศก็มี
       
       ก่อนที่จะเลิกกับสามีกันคนเก่า แล้วไปแต่งงานกับชาวอังกฤษ และย้ายไปอยู่ด้วยกันที่อังกฤษ กระทั่งมีลูก (ปัจจุบันเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินแห่งหนึ่ง) ตนทนคิดถึงบ้านไม่ได้จึงพาลูกหนีกลับประเทศไทย ขณะที่ลูกมีอายุได้ประมาณ 4-5 ขวบ โดยที่ตอนนั้นลูกสาวพูดไทยไม่ได้เลย แม้สามีจะตามมาขอให้กลับไปอยู่อังกฤษตนก็ไม่กลับ และขณะนั้นตนมีเงินพอสมควร
       
       เมื่อกลับมาเมืองไทย ตนซึ่งเดิมมีเพื่อนฝูงมากจึงได้นัดกันไปดื่มกินตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งมานั่งที่ย่านพัฒน์พงษ์และชอบจึงสอบถามหาเจ้าของ ในสมัยนั้นคือ คุณอุดม พัฒนพงษ์พานิช ซึ่งก็รู้จักกันจึงได้เข้าติดต่อขอทำบาร์ในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนหนึ่งก็ต้องการใช้เป็นสถานที่พบปะเพื่อนฝูงด้วย โดยคุณอุดมได้จัดการหาสถานที่และดำเนินการให้จนเสร็จสรรพทุกอย่าง คิดค่าเช่าในสมัยนั้นเดือนละ 20,000 บาท โดยตนเองเปิดอยู่สองร้าน คือ โทนี่บาร์ และเสาวณีย์บาร์ ส่วนที่พักก็พักในย่านเดียวกัน คือ ตึกพลาซ่า ชั้น 4 ห้อง 403
       
       ยายสุภานีเล่าว่า การทำกิจการในสมัยนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก ตนเองมีพร้อมทุกอย่างมีเงินใช้อย่างสบาย มีรถเปลี่ยนขับตลอดเวลา ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากลูกค้าซึ่งเป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากร้านของตนเองถือว่ามีระดับ รับลูกค้าเฉพาะที่เป็นสมาชิกและเป็นชาวต่างชาติเท่านั้น แม้แต่ตัวเองก็จะไม่พูดไทย เพราะไม่ต้องการให้คนไทยเข้าใช้บริการ จะมีเฉพาะพนักงานเท่านั้นที่เป็นคนไทย ส่วนร้านค้าที่มาเปิดยุคนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติโดยจะแต่งงานกับคนไทย
       
       แต่ด้วยที่ตนมีลูกสาวและโตขึ้นทุกวันจึงไม่อยากให้มาคลุกคลีกับบรรยากาศแบบนั้น จึงเอาลูกไปฝากเข้าโรงเรียนประจำเซนต์จอห์น จนทำให้ลูกไม่พอใจตัวเองมาก เมื่อชาวต่างชาติออกจากไทยได้ประมาณ 3 ปี ตนจึงเลิกกิจการ ประกอบกับลูกก็มีอายุ 13 ปี เริ่มเป็นสาวแล้ว และออกจากโรงเรียนประจำมาอยู่กับบ้าน
       
       ยายสุภานียืนยันว่า ระหว่างอยู่กับลูกก็ดูแลตนเป็นอย่างดี เงินทองที่มีอยู่หลังเลิกกิจการหลายสิบล้านบาทก็อยู่อย่างสบาย ไปเที่ยวต่างประเทศเป็นว่าเล่น ให้ลูกให้หลาน เล่นแชร์บ้าง ถูกโกงไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังมีเงินเหลือพอที่จะซื้อบ้านในราคาร่วม 8 ล้านบาท อยู่กับลูกสาวและหลาน
       
       จนกระทั่งมีปัญหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่ตนไม่ทราบว่าลูกกลับมาบ้านในตอนกลางคืนจึงไม่ได้ลงไปเปิดบ้านให้ ซึ่งลูกนั่งรอหน้าบ้านตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 3 หลังจากนั้นลูกก็ไม่พูดด้วยอีกเลย จนตนรู้สึกอึดอัดและขอให้หลานมารับไปอยู่ด้วย ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าบั้นปลายของชีวิตจะเป็นแบบนี้
       
       เมื่อมาอยู่กับหลาน คิดว่าลูกจะมาตามกลับ แต่ลูกกลับไม่สนใจ สุดท้ายหลานคนแรกก็ไม่ต้องการให้อยู่ด้วย จึงส่งตนเองมาอยู่กับหลานอีกคนที่จังหวัดลำปาง และวันนี้ หลานคนที่สองก็ไม่ต้องการให้อยู่ด้วยอีก โดยบอกว่าพี่สาวไม่ต้องการให้อยู่ และให้ตนเองออกจากบ้านไปภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งตนเองไม่มีทรัพย์สินใดๆ ติดตัวเลย แม้แต่ข้าวปลาอาหารเพื่อนบ้านต้องหาให้กิน จนกระทั่งเพื่อนบ้านทนเห็นสภาพไม่ไหวแจ้งเรื่องให้สื่อมวลชนจนกลายเป็นข่าวเกิดขึ้น
       
       หลังจากเป็นข่าว เจ้าหน้าที่ได้พยายามติดต่อกับลูกสาวเพื่อให้รับกลับบ้าน แต่ได้รับการปฏิเสธ สุดท้ายเจ้าหน้าที่จึงได้ติดต่อกับศูนย์สงเคราะห์คนชราที่จังหวัดลำปาง เพื่อให้ยายสุภานีเข้าไปพักอาศัยเป็นการชั่วคราวก่อนเนื่องจากไม่มีที่อยู่อาศัย และไม่มีคนดูแล ซึ่งนางสุภานีเต็มใจที่จะเข้าไปอยู่ที่บ้านพักคนชราแทน โดยบอกเพียงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของลูกแต่เป็นความผิดของตัวเองที่เลี้ยงดู รัก และตามใจลูกเอง จนทำให้ลูกเป็นแบบนี้ และเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับลูกทุกคนตนขอเข้าไปใช้บั้นปลายของชีวิตภายในบ้านพักคนชราจะดีที่สุด

แหล่งข่าว http://www.manager.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น