วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

อนาถไปใหญ่! อดีตเจ้าแม่บาร์พัฒน์พงษ์ตกอับหนัก พบ "ตู้เย็นเน่า แก๊สหมด"วอน ขอเบี้ยยังชีพ ซื้อชุดขาวบวช
หลังจาก ASTVผู้จัดการ นำเสนอเรื่องราวของ ยายสุภานี ศรีสุภะ วัย 75 ปี อดีจเจ้าแม่บาร์หรูย่านพัฒน์พงษ์ในอดีต คือ โนนี่บาร์ และเสาวณีย์บาร์ ที่ถือเป็นบาร์สุดหรูในยุค 40 กว่าปีก่อน ตั้งอยู่ระหว่างพัฒน์พงษ์ซอย 1 และ 2 โดยเฉพาะโทนี่บาร์ (Tony Bar) กล่าวได้ว่า เป็น 1 ในบาร์ที่โด่งดังมากที่สุดแห่งยุค ลูกค้าที่เป็นเมมเบอร์แทบทั้งหมดล้วนแต่เป็นชาวต่างชาติ - สจ๊วต แต่วันนี้ อดีตเศรษฐีนี กลับมีชีวิตที่ตกอับ ลูกหลานไม่ยอมดูแล-เลี้ยงดู และกำลังจะถูกหลานให้ออกจากบ้านที่มาอาศัยอยู่ด้วยในหมู่บ้านการเคหะตำบลพิชัย อ.เมืองลำปาง ได้ประมาณ 7 เดือน ภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักเที่ยวในยุคนั้นหลายคนต่างก็จดจำ 2 บาร์สุดหรูแห่งพัฒน์พงษ์นี้ได้เป็นอย่างดี

จนกระทั่งเมื่อคืนวันที่ 27 ก.ย.55 ที่ผ่านมา หลานสาวยายสุภานี ที่ดูแลบ้านเลขที่ 229/419 และ 229/420 ซึ่งยายสุภานี อาศัยอยู่ด้วย คือนางสุปราณี ศรีสุภะ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ ว่า เรื่องที่ยายสุภานี บอกกับผู้สื่อข่าวนั้น ไม่เป็นความจริง ลูกสาว (เทซี่) ของยายสุภานี และเธอที่เป็นหลาน รวมถึงพี่สาว ดูแลยายสุภานี เป็นอย่างดี แต่ยายสุภานี ชอบหนีออกจากบ้านหากไม่พอใจลูกสาว และเคยหนีออกจากบ้านหลายครั้ง แถมยังระบุว่า ยายสุภานี ติดเหล้า
       
       ส่วนเรื่องน้ำเรื่องไฟหลานยายสุภานี คนดังกล่าว ระบุว่า เธอก็เป็นคนชำระทั้งหมด ไม่ได้ปล่อยให้โดนตัดแต่ อย่างใด และที่ผ่านมาเธอก็ให้เงินคุณยายใช้ครั้งละ 200 บาทบ้าง 500 บาทบ้าง พี่สาว(หลานอีกคน) ก็ให้เงินใช้เดือนละ 500 บาท เรื่อยมา แต่ยายสุภานี ออกมาให้ข่าวเพราะต้องการสร้างภาพ นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า การที่ยายสุภานี บอกว่าเคยมีเงินทองมากมาย เธอก็ไม่เคยเห็น อีกทั้งที่ผ่านมาได้มีคนๆหนึ่งโทรศัพท์ไปขู่กรรโชกเพื่อให้ลูกสาวของ คุณยายโอนเงินจำนวน 5,000 บาท มาให้ด้วย
       
       ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง และจากการเข้าไปตรวจสอบบริเวณบ้านพักของยายสุภานี คือบ้านเลขที่ 229/419 อยู่ติดกับบ้านของหลานสาว (จุ๋ม) คือ เลขที่ 229/420 โดยยายสุภานี จะนอนอยู่ชั้นล่างของบ้านนั้น พบว่า บ้านหลังของหลานสาวถูกตัดไฟไปแล้ว อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในบ้าน และใช้ร่วมกันภายในห้องครัวด้านหลังบ้านไม่สามารถใช้งานได้เลย แม้แต่ตู้เย็น ก็มีสิ่งของเน่าเสียอยู่ภายในตู้ เนื่องจากไม่มีไฟฟ้า - เตาแก๊สหมดมานานกว่า 5 เดือน - ตู้น้ำเย็น ก็ใช้งานไม่ได้ - เครื่องซักผ้า ถูกนำสายไฟของตัวเครื่องซุกซ่อนเข้าไว้ภายในบ้านของหลานสาว โดยลอดผ่านบริเวณหน้าต่างบานเกล็ด จึงทำให้ยายสุภานี ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน
       
       นอกจากนี้ ยังได้พบกับนางกมลทิพท์ เดชามาตย์ เพื่อนบ้านที่อยู่บ้านหลังติดกัน พร้อมกับยายสุภานี โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามนางกมลทิพย์ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า หลานสาวยายสุภานี บอกว่ามีคนโทรศัพท์ไปข่มขู่ให้ลูกสาวของยายโอนเงินมาให้มีจริงหรือไม่ นางกมลทิพย์ ได้เล่าว่า คนที่คุณสุปราณี หรือจุ๋ม พูดถึง คือ เธอเอง ซึ่งขอชี้แจงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตนอยู่ในเหตุการณ์หลายครั้ง เพราะบ้านอยู่ติดกัน 
       
       นางกมลทิพย์ ได้เล่าให้ฟังอีกว่า ยายสุภานี มาอยู่กับหลานสาวคนนี้ได้ประมาณ 7 เดือนแล้ว ช่วงที่มาอยู่ใหม่ๆหลานสาวคนนี้ก็ดูแลเป็นอย่างดี แต่เมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งตอนแรกตนเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมีเพื่อนบ้านมาบอกว่า ยายไปขโมย ของหลานสาวอีกคน ซึ่งเป็นพี่สาวของคุณจุ๋ม ที่อยู่สุโขทัย ซึ่งคุณยายไปอยู่ด้วยก่อนหน้านี้ 1 ปี เธอก็ได้มาถามยายสุภานี ว่า ได้ขโมยของหลานสาวมาจริงหรือไม่ ยายสุภานี ก็บอกว่า ไม่ได้ขโมยหากขโมย คงไม่มาอยู่ให้เขาด่าว่าแบบนี้
       
       หลังจากนั้นเธอก็เห็นหลานสาวเริ่มไม่สนใจ และต่อว่ายายสุภานี ด้วยคำพูดที่เสียๆหายๆ เรื่อยมา จนกระทั่ง วันที่เกิดเหตุยายสุภานี ได้ร้องให้มาหาที่บ้านแล้วบอกว่า ให้ไปพูดกับคุณจุ๋ม หน่อย เธอก็สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณจุ๋ม ได้ตะโกนด่ากลับมาว่า อย่ามาเสือก ซึ่งตนก็ได้บอกว่า อันที่จริงเธอก็ไม่อยากเข้ามายุ่งหรอก แต่สงสารยายสุภานี ที่ ร้องให้มาหา และข้าวก็ไม่ได้กิน แต่สุดท้ายเธอก็ถูกคุณจุ๋ม ต่อว่าจนต้องถอยกลับมา
       
       ส่วนสาเหตุที่หลานสาว (คุณจุ๋ม) โกรธยายสุภานี ก็เพราะเชื่อว่า ไปขโมยของพี่สาว หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ยายอยู่ตามลำพัง โดยไม่ซื้ออาหารการกินมาให้ จนกระทั่งเดือนที่ผ่านมา หลานสาวยายสุภานี ได้บอกกับเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งว่า จะให้ยายสุภานี ออกจากบ้านในสิ้นเดือนนี้ และก็ไม่ยอมไปชำระค่าน้ำค่าไฟ จนทางเจ้าหน้าที่มาตัดไฟ
       
       แต่ชาวบ้านเห็นว่า บ้านที่ยายสุภานี อาศัยอยู่เสียค่าน้ำค่าไฟไม่มาก จึงได้ช่วยกันชำระให้ จนเจ้าหน้าที่จึงไม่ตัดส่วนบ้านอีกหนึ่งหลัง ซึ่งหลานสาวอยู่ก็ถูกตัดไฟไป
        
       ส่วนเรื่องที่หลานสาวยายสุภานี บอกว่า ที่ผ่านมาได้มีคนโทรศัพท์ไปข่มขู่ให้ดอนเงินมาให้นั้น เธอขอบอกว่า วันที่ยายสุภานี มาหาและบอกว่าไม่มีเงินเลย ไม่ได้กินข้าว เธอรู้สึกสะท้อนใจเป็นอย่างมาก จึงขอให้ยายบอกเบอร์โทรศัพท์ลูกหลานให้ เพื่อจะได้โทรศัพท์ไปบอกให้มารับยายกลับบ้าน จากนั้นเธอก็โทรศัพท์ไปถึงลูกสาวที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตส แต่ก็ไม่พบ ซึ่งภายหลังเขาได้ส่งข้อความมาว่าอยู่เซี่ยงไฮ้ เธอจึงฝากข้อความไว้กับคนใช้ที่ชื่อ “นุช” เพื่อให้บอกกับลูกสาวยายสุภานี ว่า
       
       “ขอให้ช่วยบอกคุณเทซี่ หน่อยว่า ตอนนี้คุณแม่ คือ ยายสุภานี ลำบากมากไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน ยังไงก็ส่งเงินมาให้คุณ แม่หน่อย อย่างน้อยก็เพื่อให้คุณแม่ มีไว้ซื้อข้าวปลาอาหาร แต่คนรับใช้กลับบอกว่า ต้องรอให้ลูกสาวคุณยายอารมณ์ดีก่อน ถึงจะบอกให้ได้ เรื่องก็มีเท่านี้”
       
       หลังจากนั้นลูกสาวยายสุภานี ก็ได้โทรศัพท์กลับมาหาตนเองและบอกว่า “คนรับใช้บอกว่า คุณข่มขู่ให้โอนเงินให้ 5,000 บาท ฉันจะฟ้องคุณในข้อหากรรโชกทรัพย์ พวกคุณมันพวก 18 มงกุฎ” เธอจึงบอกว่า คุณเทซี่ คุณพูดเกินไป ยังไงให้ฟังความจริงจากปากของแม่คุณ และตนก็ให้ยายสุภานีพูด ซึ่งยายก็ได้ต่อว่าลูกสาวว่า “ไปต่อว่าเขาทำไมเขาให้ข้าวให้น้ำให้ที่อาศัยกับฉัน” ลูกสาวยายสุภานี จึงโบ้ยว่า คนใช้เป็นคนพูด ยายสุภานี ก็เลยบอกกับลูกสาวว่า หากเชื่อคนใช้มากกว่าแม่ ก็ให้เอาคนใช้เป็นแม่แทนก็แล้วกัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
       
       ขณะเดียวกันยายสุภานี ยังได้กล่าวว่าถึงกรณีที่หลานสาวระบุว่า ยายติดเหล้า ว่า เมื่อก่อนตนมีบาร์ ตนดื่มแน่นอน อยู่กับสามีชาวต่างชาติ ก็ดื่ม แต่ก็ไม่ได้ติดเหล้า และเวลาดื่มก็ไม่ได้ดื่มแล้วเอะอะโวยวายมีเรื่องมีราวก็ไม่ใช่ แต่หลังจากที่ตนเองไปผ่าตัดตาเมื่อปี 2550 แล้วมีบ้างที่ลูกสาวซื้อไวน์มาดื่มกันและให้แม่ดื่มบ้างก็เท่านั้น เมื่อมาอยู่กับที่นี่ (กับหลาน) หลานสาวเป็นคนดื่ม เมื่อดื่มก็จะให้เธอดื่มบ้าง แต่ยืนยันว่าไม่ได้ติดเหล้า ทุกวันนี้ก็ไม่เคยดื่ม
       
       "มาอยู่ที่นี่ เงินจะซื้อข้าวกินยังไม่มี แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเหล้ามาดื่ม ส่วนที่บอกว่า เธอไม่เคยมีเงินทองมากมายนั้น ที่ผ่านมาเรื่องราวส่วนตัวดิฉันนไม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นหลานสาวยังเด็กเล็กๆ อยู่เลย ดิฉันไปอยู่เมืองนอกตั้งสิบกว่าปี เขาไม่เคยรู้ว่า ก่อนหน้านั้นดิฉันแต่งงานกับใคร สามีมีเงินเป็นพันล้าน เมื่อกลับมาเมืองไทยหลานสาวก็อายุ 15-16 ปีแล้ว ดิฉันถามว่าหากดิฉันไม่มีเงินจะมีบาร์ตั้ง 2 แห่ง มีรถยนต์ 3-4 คัน และช่วยเหลือพี่สาวซึ่งก็คือแม่ของพวกเขา และตัวเขา และหลานๆคนอื่นๆอีก 8-9 คนได้อย่างไร แม้แต่ตัวเขาก็เคยไปอาศัยดิฉันอยู่สมัยที่ดิฉันเปิดบาร์อยู่พัฒน์พงษ์ ทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นหลานที่ดิฉันรักมากที่สุด" ยายสุภานี พูดไปร้องให้ไปด้วยด้วยความอึดอัดใจ และพูดว่า อย่าให้ดิฉันเล่าอีกเลย อยากทราบมากกว่านี้ขอให้ไปถามเพื่อนบ้านดูก็แล้วกัน
       
       “ถ้าในสมัยนั้นตนเองไม่มีเงินจริง ก็คงไม่สามารถส่งลูกสาวคนเล็กเรียนในโรงเรียนนานาชาติได้ ซึ่งในสมัยนั้นค่าเทอมละ 200,000 บาท หนึ่งปีมีถึง 3 เทอม ตนก็สามารถส่งเสียลูกให้เรียนได้อย่างสบาย”
       
       ยายสุภานี บอกอีกว่า ครั้งหลังสุด ที่ตนไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน เธอต้องเอาเสื้อผ้าทรัพย์สินบางส่วนที่ติดตัวมาขายจนหมด ขณะนี้เหลือเสื้อผ้าเพียงสองชุดเท่านั้น ก่อนเกิดเป็นข่าวใหญ่โต เคยนึกถึงว่าอยากจะไปนั่งขอทานและขอให้นักข่าวที่รู้จักไปช่วยบันทึกภาพและส่งไปให้ลูกดู เพื่อลูกจะได้มารับกลับบ้านเท่านั้น ไม่นึกว่าจะมีนักข่าวมาทำข่าวมากมาย
       
       แต่เมื่อมาทำข่าวแล้วเธอก็บอกนักข่าวทุกคนว่า อย่าได้เอ่ยถึงคนอื่น เพราะเธอไม่อยากให้ใครเดือดร้อน และเธอก็ขอเพียงเงินคนแก่ที่รัฐโอนให้ในช่วง 2 ปีที่ไม่ได้อยู่บ้านจากลูกเท่านั้น เพราะตัดสินใจแล้วว่า จะไปบวช จึงต้องการนำเงินเหล่านั้นไปซื้อเสื้อผ้าชุดขาว
       
       อย่างไรก็ตามตอนนี้เพื่อนและคนที่รู้จักเมื่อรู้ข่าวว่า ตนจะบวชก็ส่งเงินมาให้ทางไปรษณีย์ จนทำให้เธอได้ซื้อชุดขาวเตรียมไว้หมดแล้ว



แหล่งข่าว www.manager.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น